การไปต่างประเทศของหลาย ๆ คน นอกจากจะไปท่องเที่ยวรับประสบการณ์ใหม่ ๆ หรือการไปทำธุรกิจแล้ว เชื่อว่าก็มักจะไปซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมหรูในประเทศผู้ผลิตใช่หรือไม่ ? เพราะนอกจากจะมีรูปแบบและสีสันให้เลือกหลากหลายมากกว่าในไทยแล้ว ยังมีราคาที่ต่ำกว่า และยังมั่นใจได้ว่าสินค้านั้นมาจากแหล่งผลิตแท้จริง นอกจากนี้หลายคนก็ใช้วิธีการสั่งซื้อออนไลน์เข้ามา เพื่อให้ชัวร์ว่ากระเป๋าแบรนด์เนมที่ได้มานั้นเป็นสินค้าของแท้แน่นอนและราคาก็ยังย่อมเยากว่าในช็อป
แต่รู้หรือไม่ว่า การซื้อกระเป๋าแบรนด์เนม ไม่ว่าจะด้วยการหิ้วมาเองหรือการสั่งออนไลน์ เมื่อนำเข้ามาในประเทศคุณอาจจะต้องเสียภาษีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ที่เรียกกันว่า “ภาษีแบรนด์เนม” ดังนั้น การเข้าใจเรื่องภาษีที่เกี่ยวข้องกับกระเป๋าแบรนด์เนมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ชื่นชอบกระเป๋าหรูต้องรู้
“ภาษีกระเป๋าแบรนด์เนม” คือ ภาษีนำเข้าที่ผู้นำเข้าต้องชำระเมื่อหิ้วกระเป๋าแบรนด์จากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย
การเก็บภาษีแบรนด์เนมนั้นเป็นไปเพื่อนำเงินภาษีมาพัฒนาประเทศ และเอื้อประโยชน์ให้ผู้จำหน่ายสินค้าประเภทเดียวกัน และเป็นตัวแทนจำหน่ายที่จ่ายภาษีอย่างถูกต้องในประเทศสามารถทำการค้าได้อย่างเป็นธรรม
โดยกระเป๋าแบรนด์เนมที่นำเข้ามานั้นจะต้องเสียภาษี 2 ประเภท
เมื่อคุณนำกระเป๋าแบรนด์เนมเข้ามา ถ้ากระเป๋าใบนั้นมีราคาสูงกว่า 20,000 บาท คุณจะต้องเสียภาษีกระเป๋าแบรนด์เนมตามกฎหมาย แต่นั่นไม่ใช่กฎเพียงอย่างเดียวที่กรมศุลกากรกำหนดไว้
ทางกรมศุลกากรกำหนดไว้ให้ผู้นำเข้ากระเป๋าแบรนด์เนมจ่ายภาษีตามกฎระเบียบ โดยมีเงื่อนไขที่ควรรู้ ดังนี้
นอกจากนี้ ก่อนจะออกนอกประเทศ หากตรวจสอบแล้วว่าของใช้ส่วนตัว เช่น กล้องถ่ายภาพ นาฬิกาหรู เสื้อผ้า หรือกระเป๋าแบรนด์เนม มีมูลค่ารวมกันเกิน 20,000 บาท และมีความเสี่ยงถูกตรวจสอบจากศุลกากรขาเข้า ควรนำใบเสร็จหรือหลักฐานการซื้อสินค้า พร้อมกับภาพถ่ายของสิ่งของที่ต้องการสำแดง จำนวน 2 ชุด ไปลงทะเบียนสำแดงสิ่งของก่อนเดินทางได้ที่จุดบริการสนามบิน เมื่อสำแดงแล้ว จะได้รับ “ใบรับแจ้ง” ซึ่งให้เก็บไว้เพื่อนำมาแสดงในวันเดินทางกลับประเทศ เพื่อป้องกันการถูกเรียกเก็บภาษีแบรนด์เนมซ้ำเมื่อผ่านด่านศุลกากรขาเข้า
ถึงเวลาบริหารสมองกันแล้ว ! ตอนนี้คุณก็ได้รู้ว่า ถ้าจะนำกระเป๋าแบรนด์เนมเข้าประเทศ ต้องเตรียมเงินไว้เผื่อสำหรับการจ่ายภาษีด้วย โดยภาษีแบรนด์เนมสามารถคำนวณได้ง่าย ๆ ด้วยสูตรนี้
(1) ภาษีนำเข้า หรืออากรขาเข้า = มูลค่ารวมของสินค้า (CIF) x อัตราภาษีขาเข้า (ในที่นี้คือกระเป๋าแบรนด์เนมที่มีกำหนดอัตราภาษีที่ 20% ของราคาสินค้า)
(2) ภาษีมูลค่าเพิ่ม = (ราคาสินค้า + อากรขาเข้า) x อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
(3) ภาษีทั้งหมดที่ต้องชำระ = ภาษีนำเข้า + ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตัวอย่าง
คุณซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมมาจากอิตาลี รวมมูลค่า CIF ของสินค้าอยู่ที่ 82,000 บาท
(1) ภาษีนำเข้า 20% : 82,000 × 20% = 16,400 บาท
(2) ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% : (82,000 + 16,400) x 7% = 6,888 บาท
(3) ภาษีทั้งหมดที่ต้องชำระ : 16,400 + 6,888 = 23,288 บาท
รวมแล้ว คุณต้องจ่ายภาษีแบรนด์เนมสำหรับกระเป๋าใบนี้ทั้งสิ้น 23,288 บาท และทำให้กระเป๋าใบนี้มีราคารวมแล้วสูงถึง 105,288 บาท
การหิ้วกระเป๋าแบรนด์เนมเข้ามาในประเทศไทยโดยไม่สำแดงสินค้าให้ชัดเจน อาจทำให้ต้องเสียภาษีเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจพบสินค้าที่ไม่ได้แจ้งให้ถูกต้อง และยังอาจเสี่ยงต่อการถูกปรับ ดังนั้นจึงควรศึกษากฎหมายเกี่ยวกับภาษีแบรนด์เนมให้ดีก่อนการหิ้วสินค้าเข้าประเทศ
พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ระบุว่าการหิ้วกระเป๋าแบรนด์เนมเข้ามาในประเทศไทย หากไม่สำแดงต่อศุลกากรอย่างถูกต้อง อาจถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม และมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับหรือถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยโทษสูงสุดคือจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาสินค้ารวมภาษีแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังอาจถูกริบสินค้าได้
เมื่อคุณไปถึงสนามบิน กรณีที่พิจารณาจนมั่นใจแล้วว่าไม่มีของต้องเสียภาษีนำเข้า สามารถเดินผ่านได้ที่ช่องไม่มีสิ่งของต้องสำแดง หรือ ช่องเขียว (Nothing to declare) ได้ทันที่ แต่ถ้าพิจารณาแล้วว่ามีของที่ต้องเสียภาษีให้เดินผ่านช่องมีสิ่งของต้องสำแดงหรือ ช่องแดง (Goods to declare) เพื่อจ่ายภาษีศุลกากรขาเข้า โดยสิ่งที่ต้องเตรียมคือ หนังสือเดินทาง และใบเสร็จรับเงินสินค้า
การจ่ายค่าภาษีนั้นสามารถจ่ายได้ด้วยเงินสด หรือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ (บัตรเดบิต/บัตรเครดิต) ในกรณีที่ด่านศุลกากรมีระบบรับชำระด้วยบัตรอิเล็กทรอนิกส์
ซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมแล้ว อย่าลืมเก็บใบเสร็จ เพราะการมีใบเสร็จรับเงินจะช่วยให้การคำนวณภาษีกระเป๋าแบรนด์เนมเป็นไปอย่างถูกต้องที่สุด หากไม่มีใบเสร็จ ศุลกากรจะอ้างอิงราคาจากฐานข้อมูลหรือเว็บไซต์ ซึ่งอาจตีราคาสูงกว่าที่ซื้อจริงได้ ในทางกลับกัน ถ้าเป็นสินค้าหายากหรือของสะสมที่ไม่มีราคากลาง การประเมินภาษีจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ แต่โดยทั่วไปแล้วเจ้าหน้าที่จะตั้งอัตราภาษีในระดับที่เหมาะสม
นอกจากนี้ หากต้องนำเข้ากระเป๋าแบรนด์เนมมาหลายชิ้น ควรมีการคำนวณภาษีล่วงหน้าไว้เพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงกับเจ้าหน้าที่ด้วย
สุดท้ายนี้ หากต้องการข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามหรือทำเรื่องร้องเรียนได้ที่
จะเห็นได้ว่าการซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมจากต่างประเทศนั้นอาจต้องเสียภาษีเมื่อซื้อในจำนวนมาก ดังนั้นหากคุณกำลังมองหาวิธีซื้อกระเป๋าแบรนด์เนม โดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีนำเข้า BRANDNAME VOYAGE คือร้านขายกระเป๋าแบรนด์เนม มือสอง ที่ให้บริการอย่างมืออาชีพ รับประกันของแท้ 100% พร้อมบริการรับซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมและการฝากขายครบวงจร
ติดต่อเราผ่านช่องทางออนไลน์และหน้าร้านได้ทุกสาขา ได้แก่
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
อ้างอิง
หากมูลค่าเกิน 1,500 บาท ต้องเสีย VAT 7% ตั้งแต่ช่วงกลางปี พ.ศ. 2567
รวมมูลค่าทั้งหมดหากเกิน 20,000 บาทจะถือว่าเชิงพาณิชย์ ต้องเสียทั้งภาษีขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม รวม 27%
เพื่อป้องกันการถูกเรียกเมื่อเดินทางกลับเข้าประเทศ ก่อนเดินทาง แนะนำให้นำ Boarding Pass กระเป๋าแบรนด์เนมที่ใช้อยู่ พร้อมภาพถ่ายของกระเป๋านั้น 2 ชุด ไปลงทะเบียนที่จุดลงทะเบียนสำแดงสิ่งของก่อนเดินทาง ตามจุดบริการที่สนามบินจัดไว้ โดยจะได้รับใบรับแจ้งเพื่อนำมาแสดงในวันเดินทางกลับและไม่ต้องชำระภาษีแบรนด์เนม
ทางกฎหมายต้องจ่ายตามที่กำหนด แต่สามารถวางแผนการซื้อให้อยู่ในเกณฑ์ยกเว้นได้ เช่น แบ่งสินค้าที่รวมกันแล้วมีมูลค่ามากกว่า 20,000 บาทให้ผู้อื่นช่วยถือ
By joining Brandname Voyage, you agree to the Terms of Service, Cookie Policy, and to receive promotional emails.
By joining Brandname Voyage, you agree to the Terms of Service, Cookie Policy, and to receive promotional emails.