หากจะมีแบรนด์แฟชั่นที่สามารถเล่าเรื่องราวของศตวรรษที่ 20 ผ่านดีไซน์ได้อย่างสง่างามและมีชั้นเชิง Gucci คงอยู่ในรายชื่อลำดับต้น ๆ อย่างแน่นอน เพราะไม่ใช่แค่ความหรูหราที่สัมผัสได้ตั้งแต่แวบแรก แต่เพราะทุกลวดลายของ Gucci ล้วนผ่านประวัติศาสตร์ ความเปลี่ยนแปลง และวิสัยทัศน์ที่เคยไม่หยุดนิ่งมากว่าร้อยปี
Gucci ไม่เคยยอมเป็นเพียงแบรนด์ที่อยู่แค่ในตู้เสื้อผ้า เพราะด้วยวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนวัฒนธรรม ก้าวข้ามข้อจำกัดของแฟชั่น สิ่งนี้ทำให้ Gucci กลายเป็นพื้นที่ที่เปิดรับอัตลักษณ์ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะในยุคที่สงครามโลกบีบให้ต้องประดิษฐ์ด้วยข้อจำกัด ไปจนถึงช่วงเวลาที่รันเวย์กลายเป็นเวทีให้แฟชั่นส่งเสียงแทนสังคม Gucci ก็ยังคงเป็นแบรนด์ที่ “กล้า” เสมอ
จุดเริ่มต้นประวัติเจ้าของแบรนด์ Gucci เกิดขึ้นในตอนที่ชายหนุ่มชาวอิตาเลียนนาม Guccio Gucci ทำงานเป็นพนักงานยกกระเป๋าในโรงแรม Savoy กรุงลอนดอน โดยเขาเกิดตกหลุมรักเข้าอย่างจังกับความงามของกระเป๋าเดินทางที่แขกผู้ดีอังกฤษถืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของหนัง งานฝีมือ และรายละเอียดที่ไร้ที่ติ
หลังเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ชายหนุ่มก็นำความหลงใหลดังกล่าวติดตัวกลับบ้านเกิดไปด้วย จุดประสงค์คือเพื่อเปิดกิจการเครื่องหนังที่ใส่ใจทุกรายละเอียด ตั้งแต่วัสดุจนถึงการเย็บแต่ละฝีเข็ม และในปี ค.ศ. 1921 เขาก็ได้เปิดร้านเครื่องหนังในเมืองฟลอเรนซ์ โดยเน้นผลิตสินค้าที่ผสานความประณีตแบบอิตาเลียนกับฟังก์ชันที่ตอบโจทย์นักเดินทางยุคใหม่
ใช้เวลาเพียงไม่นาน Gucci ก็จารึกประวัติศาสตร์ กลายเป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์หรูที่ผสมผสานความประณีตแบบอิตาเลียนเข้ากับประโยชน์ใช้สอยอย่างลงตัว โดยหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญคือการถือกำเนิดของกระเป๋า Bamboo Bag ในช่วงสงครามโลกที่โลหะขาดแคลน Gucci ใช้ไม้ไผ่เผาแทนหูจับ ซึ่งไม่เพียงเป็นทางออกด้านวัสดุ แต่กลายเป็นซิกเนเจอร์ที่ยืนยงมาจนทุกวันนี้
หลังความสำเร็จของ Bamboo Bag เสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับ “ความประณีตด้านคุณภาพและดีไซน์” ของ Gucci ดังไกลเกินขอบเขตของเมืองฟลอเรนซ์ และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายแบรนด์สู่ระดับสากล ด้วยความตั้งใจของ Guccio ที่ต้องการสานต่องานฝีมืออิตาเลียนให้คนทั้งโลกได้รู้จัก เขาจึงดึงลูกชายทั้งสามคนอย่าง Aldo, Vasco และ Rodolfo เข้ามาร่วมสร้างเขียนประวัติศาสตร์แบรนด์ Gucci บทต่อไปด้วยกัน
การร่วมมือกันผลักดันให้ Gucci เข้าสู่ประวัติศาสตร์ยุคทอง ร้านค้าแห่งใหม่ทยอยเปิดในมิลาน โรม และต่อมาถึงนิวยอร์กในปี ค.ศ. 1953 นับเป็นการขยายสาขาแรกในต่างประเทศ และเป็นหมุดหมายสำคัญที่ผลักดันให้ Gucci กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์อิตาเลียนแบรนด์แรก ๆ ที่เข้าสู่ตลาดอเมริกาอย่างเต็มตัว
ถึงจุดนี้ Gucci ไม่ได้เป็นเพียงกิจการครอบครัวอีกต่อไป แต่กลายเป็นเรือธงของสไตล์อิตาเลียนที่โดดเด่นบนเวทีโลก พร้อมกับโลโก้ GG ที่เริ่มปรากฏอยู่บนข้าวของของคนดังทั่วฮอลลีวูด
และด้วยกฎของธรรมชาติ ถึงแม้จะเป็นอาณาจักรโรมันที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรก้องโลก แต่ก็ยังหลีกหนีจาก “ยุคตกต่ำ” ไม่ได้ Gucci เองก็เช่นเดียวกัน โดยในช่วงที่บริหารโดย Maurizio Gucci ทายาทคนสุดท้ายของตระกูล ไปจนถึงการเปลี่ยนมือสู่กลุ่มทุน ประวัติศาสตร์แบรนด์ Gucci ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่น่าจดจำนัก แบรนด์ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ไร้ทิศทาง อุปสรรคมากมายถาโถม Gucci จึงต้องการจุดเปลี่ยนที่จะเข้ามาพลิกโฉมแบรนด์ให้ตามความเร็วของโลกแฟชั่นยุคใหม่ได้ทัน โดยทีมบริหารได้มอบโอกาสแก่ดีไซเนอร์ชาวอเมริกันคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในทีมอยู่แล้ว และเริ่มฉายแววโดดเด่นด้วยวิธีคิดที่แตกต่าง ชื่อของเขาคือ “Tom Ford”
Ford ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง Creative Director และเขาก็ไม่ได้เพียงแค่ดีไซน์เสื้อผ้า แต่สร้างโลกใบใหม่ให้กับ Gucci ด้วยทัศนคติอันเฉียบคมและความกล้าในการตีความคำว่า “เซ็กซี่” ใหม่ทั้งหมด เขาหยิบจิตวิญญาณของยุค 70s มาผสานกับความมินิมัลเฉียบขาดของยุค 90s จนเกิดเป็นลุคที่ทรงพลัง เย้ายวน และแฝงความลักซ์ชัวรีแบบที่ Gucci ไม่เคยมีมาก่อน
Ford พลิกโฉมประวัติศาสตร์แบรนด์ Gucci ในยุคของเขาให้กลายเป็น “ยุคทอง” อีกครั้ง พาแบรนด์พุ่งทะยานขึ้นแท่นผู้นำวงการแฟชั่นโลกแบบไม่มีใครตามทัน ยอดขายเติบโตอย่างน่าทึ่ง ทุกแฟชั่นโชว์ของ Gucci ถูกจับจ้อง เพราะไม่ใช่แค่แฟชั่น แต่คือปรากฏการณ์ที่ย้ำให้โลกรู้ว่าแบรนด์ Gucci สามารถ “ขับเคลื่อนวัฒนธรรม” ได้อย่างทรงพลังผ่านเสื้อผ้าและกระเป๋าของพวกเขา
หลังจาก Tom Ford อำลาตำแหน่งในปี ค.ศ. 2004 ก็เหมือนกับเป็นการปิดฉากยุคสมัยแห่งความเซ็กซี่อย่างเป็นทางการ แต่แน่นอนว่าประวัติศาสตร์แบรนด์ Gucci ยังคงดำเนินต่อไป ด้วยจิตวิญญาณที่มุ่งมั่นเดินหน้าค้นหาภาษาดีไซน์ใหม่ ๆ ที่จะสะท้อนตัวตนของผู้คนในแต่ละยุคสมัย พร้อมสำรวจวิธีเชื่อมโยงระหว่างรากเหง้าความหรูหราแบบอิตาเลียนเข้ากับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
โดยอีกหนึ่งยุคที่น่าจดจำที่สุดของ Gucci คือช่วงเวลาที่แบรนด์อยู่ภายใต้การนำของ Alessandro Michele ดีไซเนอร์ผู้เปลี่ยน Gucci ให้กลายเป็นจักรวาลที่ไร้ขอบเขตทางอัตลักษณ์ เขาหลอมรวมกลิ่นอายวินเทจเข้ากับแฟชั่นร่วมสมัย เปิดพื้นที่ให้แฟชั่นเป็นภาษาสื่อสารของตัวตน Gucci จึงไม่ใช่แค่แบรนด์แฟชั่นอีกต่อไป แต่กลายเป็นวัฒนธรรมร่วมสมัยที่เต็มไปด้วยพลังความคิดสร้างสรรค์และการยืนหยัดในสิ่งที่เชื่อ
เรียกได้ว่า ต่อให้โลกหมุนเร็วขึ้น แต่ Gucci ก็ยังคงปรับจังหวะของตัวเองให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้ โดยไม่ทิ้งความพิถีพิถันอันเป็นดีเอ็นเอของแบรนด์ ลวดลาย GG ที่เป็นตำนาน งานฝีมือระดับสูง และกลิ่นอายอิตาเลียนแท้ยังคงอยู่ครบ เพียงแต่อยู่ในรูปแบบที่ทันสมัยขึ้นและตอบโจทย์ชีวิตปัจจุบันมากขึ้น
ตลอดเวลากว่าศตวรรษ Gucci ไม่ได้เพียงแต่รังสรรค์เสื้อผ้าที่กลายเป็นแรงบันดาลใจระดับโลก แต่ยังสร้าง “กระเป๋า” ที่กลายเป็นตำนานมากมายหลายรุ่น โดยหากคุณคือผู้ที่หลงใหลในดีไซน์หรูและต้องการลงทุนในไอเทมที่ไม่มีวันตกยุค นี่คือ 5 กระเป๋า Gucci ไอคอนิกที่ควรทำความรู้จัก
แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนผ่าน แต่อัตลักษณ์ของ Gucci ยังคงเปล่งประกายในฐานะงานศิลปะที่สะท้อนยุคสมัย โดยหากคุณคือเจ้าของกระเป๋า Gucci ที่พร้อมส่งต่อสู่เจ้าของคนใหม่ BRANDNAME VOYAGE คือปลายทางที่คุณไว้ใจได้ โดยเราพร้อมให้บริการรับซื้อกระเป๋า Gucci ทุกรุ่น ทุกสภาพ ไม่ว่าจะเป็นไอเทมวินเทจสุดคลาสสิกจากยุค Tom Ford หรือรุ่นยอดฮิตจากยุค Alessandro Michele ด้วยราคาที่เป็นธรรม พร้อมการประเมินอย่างโปร่งใสโดยทีมงานมืออาชีพ ให้คุณเปลี่ยนของสะสมเป็นมูลค่าได้ง่าย ๆ และมั่นใจในคุณภาพของบริการทุกขั้นตอน
เลือกชมสินค้าได้ที่เว็บไซต์ หรือเข้ามาเยี่ยมชมสินค้าที่หน้าร้านทั้ง 3 สาขา ได้แก่
และ BRANDNAME VOYAGE – CHIANG MAI ถนนมงฟอร์ต อำเภอเมืองเชียงใหม่ (เฉพาะรับซื้อ)
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
ข้อมูลอ้างอิง
By joining Brandname Voyage, you agree to the Terms of Service, Cookie Policy, and to receive promotional emails.
By joining Brandname Voyage, you agree to the Terms of Service, Cookie Policy, and to receive promotional emails.